วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เฟซบุ๊กเปิดตัวฟีเจอร์ Facebook Save เก็บโพสต์น่าสนใจไว้อ่านทีหลัง

เฟซบุ๊ก (Facebook) เปิดตัว Facebook Save ฟีเจอร์ใหม่สำหรับบันทึกโพสต์หรือเนื้อหาที่น่าสนใจบนเฟซบุ๊กเก็บไว้อ่านทีหลังได้ เตรียมอัพเดทให้กับเว็บเฟซบุ๊กและแอพฯ เฟซบุ๊กเร็ว ๆ นี้ 
         เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เฟซบุ๊กประกาศเปิดตัว Facebook Save ฟีเจอร์ใหม่ใช้สำหรับบันทึกลิงก์, สถานที่, หนัง, รายการทีวี และเพลงเก็บไว้อ่านไว้ดูทีหลังได้ รวมถึงสามารถแชร์สิ่งที่บันทึกไว้ให้กับเพื่อน ๆ ได้อีกด้วย โดยขั้นตอนการบันทึกโพสต์ที่น่าสนใจเพียงแตะที่โพสต์หรือลิงก์ที่สนใจก็จะมีเมนูแสดงให้บันทึก (Save) ลิงก์นั้น ๆ แสดงขึ้นมา หากใช้งานผ่านมือถือโพสต์ที่บันทึกไว้จะอยู่ในส่วนของแท็บ More > Saved พร้อมแสดงตัวเลขบอกจำนวนลิงก์หรือโพสต์ที่เก็บบันทึกเอาไว้ สำหรับใครที่ไม่เข้าใจว่าฟีเจอร์นี้ใช้งานอย่างไร ดูตัวอย่างจากคลิปวิดีโอด้านล่างได้เลย

กสทช. ปรับ AIS-DTAC วันละกว่า 1 แสน คิดค่าโทรเกินเพดาน


กสทช. สั่งปรับ AIS-DTAC วันละกว่า 1 แสนบาท หลังฝ่าฝืนคิดค่าบริการเกินอัตราขั้นสูงที่กำหนดมาโดยตลอด 2 ปี
            จากกรณีที่ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนดให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ กำหนดอัตราค่าบริการของบริการประเภทเสียงในระบบ 2G ไว้ที่กรอบไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที ซึ่งมีการออกประกาศบังคับไว้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2555 ส่วนรายการส่งเสริมการขายเดิมที่มีการใช้อยู่ก่อนแล้ว ให้ใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นั้น
          ล่าสุด วันนี้ (25 กรกฎาคม 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. ได้ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 186,669 บาท ส่วนบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 157,947 บาท เหตุที่ผ่านมา 2 ปี นับจากปี 2555 ทั้งสองบริษัทมีการคิดค่าบริการเกินอัตราขั้นสูงที่กำหนดมาโดยตลอด
          โดยก่อนหน้านี้ หลังจากปี 2555 กสทช.ตรวจพบว่ามีรายการส่งเสริมการขายที่เรียกเก็บค่าบริการเกินอัตราที่กำหนดถึง 99 รายการ แบ่งเป็นรายการส่งเสริมการขายของ AIS จำนวน 66 รายการ และ DTAC จำนวน 33 รายการ ซึ่งต่อมาสำนักงาน กสทช.ก็ได้ทำหนังสือแจ้งทั้งสองบริษัทให้ปฏิบัติตามประกาศ แต่ก็ได้รับคำชี้แจงว่า บางรายการยังไม่สามารถระงับได้ในทันที เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าเดิมยังใช้บริการอยู่
          กระทั่งต้นปี 2557 สำนักงาน กสทช.ก็ได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาและกำหนดจำนวนค่าปรับ เพื่อกำหนดอัตราค่าปรับกรณีที่บริษัท AIS และ DTAC ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศ หลังจากนั้นสำนักงาน กสทช.ก็ได้ทำหนังสือแจ้งเตือนทั้งสองบริษัทอีกครั้ง โดยได้มีการกำหนดค่าปรับให้ทราบ และให้ชำระในวันที่กำหนด แต่ปรากฏว่าทั้งสองบริษัทต่างยังทำการฝ่าฝืนต่อไป
          ดังนั้น กสทช.จึงได้ให้บริษัท AIS ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 186,669 บาท ส่วนบริษัท DTAC ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 157,947 บาท ดังกล่าว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

ภาพถ่าย 12 แนวที่เจอบ่อย ๆ บนอินสตาแกรม

1.ภาพเท้าบนชายหาด 


           แนวภาพยอดฮิตที่หลาย ๆ คนเมื่อไปเที่ยวทะเลจะชอบถ่ายภาพ selfie แต่เปลี่ยนจากใบหน้า มาเป็นเท้าของเราแทน 

2. เมฆและท้องฟ้า  


         แค่เพียงเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าก็เจอกับเมฆหน้าตาแปลก ๆ ถ่ายทุกวันก็ไม่เบื่อ จนทำให้หลายคนอดใจไม่ไหวที่จะต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพและโพสต์ลงอินสตาแกรม

3. อาหาร 
   

         อีกหนึ่งภาพยอดฮิตที่ถูกโพสต์ลงอินสตาแกรมมากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กินอะไร ขอถ่ายภาพอาหารและโพสต์อินสตาแกรมก่อนนะ 

4. สีของเล็บ  

       ภาพของเล็บที่ถูกแต่งเติมด้วยสีสันต่าง ๆ กลายเป็นภาพอีกแนวที่ถูกโพสต์ลงอินสตาแกรมโดยเฉพาะผู้หญิง


5. คำคมสร้างแรงบันดาลใจ   


        ภาพคำคมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจกลายเป็นอีกภาพยอดฮิตที่ถูกโพสต์ลงบนอินสตาแกรม

6. ตึกหรืออาคารสูง ๆ จากมุมมองภาพบนพื้นดิน


         นอกจากภาพก้อนเมฆบนท้องฟ้าแล้ว ภาพตึกสูง อาคาร บ้านช่อง ก็กลายเป็นอีกภาพที่หลาย ๆ คนชอบถ่ายและโพสต์ลงอินสตาแกรม


7. ลาเต้อาร์ต 

      ถ่ายกับกาแฟลาเต้อาร์ต พร้อมขนมที่อยู่ข้าง ๆ (เมืองไทยน่าจะเป็นกาแฟจาก Starbuck ที่ชอบฮิตถ่ายภาพกัน)


8. ข้อความสั้น ๆ ที่แคปหน้าจอ


         หลายคนเลือกที่จะเก็บความทรงจำที่คุยกับคนรัก หรือเพื่อน ด้วยวิธีการแคปหน้าจอของคนที่คุยด้วย มาโพสต์เก็บไว้บนอินสตาแกรม

9. ปีกเครื่องบิน 

         หลายคนที่เดินทางบ่อย ๆ ด้วยเครื่องบิน คงอดไม่ได้ที่ถ่ายภาพวิวสวย ๆ ผ่านปีกเครื่องบิน เพื่อโพสต์อวดเพื่อน ๆ ในอินสตาแกรม

10. ถ่ายภาพตัวเองผ่านกระจกในห้องน้ำ

         อีกแนวภาพยอดฮิตสำหรับหนุ่มสาวที่ชอบถ่ายภาพตัวเองผ่านกระจกในห้องน้ำ เพื่ออวดชุดใหม่ อวดหุ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย

11. เรียงเท้าเป็นวงกลม   


         อีกหนึ่งแนวภาพยอดฮิตนอกจากถ่ายภาพเท้าตัวเองบนชายหาดแล้ว ก็คือ การถ่ายภาพเท้าหลาย ๆ เท้าที่เรียงกันเป็นวงกลม จากนั้นก็แท็กชื่อเจ้าของเท้าลงในภาพ

12. พระอาทิตย์ตก   


         แสงสีส้มอมเหลืองสวย ๆ บนท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ตกกลายเป็นภาพยอดฮิตที่ทำให้หลาย ๆ คนต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเพื่อเก็บความรู้สึกที่สัมผัสของช่วงเวลานั้น ภาพอาทิตย์ตกจึงกลายเป็นภาพยอดฮิตที่หลาย ๆ คนชอบถ่ายลงอินสตาแกรม

Iphone

ไอโฟน (อังกฤษ: iPhone) เป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและมัลติมีเดีย ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทแอปเปิล โดยการทำงานของไอโฟนสามารถใช้งานส่งอีเมล ใช้เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งเอสเอ็มเอส ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านทางซอฟต์แวร์ซาฟารี ค้นหาแผนที่ ฟังเพลง และความสามารถอื่น โดยมีอุปกรณ์หลักประกอบด้วย Wi-Fi (802.11b/g) บลูทูธ 2.0 และกล้องถ่ายภาพ 2.0-megapixel ไอโฟนรุ่นแรกมีลักษณะ 2.5G quad band GSM และ EDGE และรุ่นที่สองใช้ UMTS และ HSDPA
แอปเปิลได้เปิดเผยไอโฟนรุ่นแรกโดย สตีฟ จอบส์ ในงานแม็คเวิลด์ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2550 และวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ไอโฟนได้ชื่อว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมประจำปีจากนิตยสารไทม์ ประจำปี 2550[2] โดยมีรุ่นถัดมาคือ ไอโฟน 3G และ ไอโฟน 3GS และไอโฟน 4 ได้เปิดตัวในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในปัจจุบันคือ ไอโฟน 5เอส และ ไอโฟน 5ซี ซึ่งมีเป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้

การทำงานของไอโฟน
การทำงานของโทรศัพท์ไอโฟนนี้จะแตกต่างจากโทรศัพท์มือถืออื่น โดยไอโฟนจะไม่มีปุ่มสำหรับกดหมายเลขโทรศัพท์ โดยการทำงานทั้งหมดจะทำงานผ่านหน้าจอโดยการสัมผัสมัลติทัชผ่านคำสั่งต่างๆ โดยมีระบบปฏิบัติการหลัก iOS และมีระบบเซ็นเซอร์ในการรับรู้สภาพของเครื่องเพื่อกำหนดการแสดงผลของจอภาพ เช่น หากวางเครื่องในแนวตั้งระบบก็จะปรับให้แสดงผลในแนวตั้ง หากวางในแนวนอนระบบก็จะแสดงผลในแนวนอน

รุ่น
..ไอโฟน 5เอส

เป็นสมาร์ตโฟนจอสัมผัส ที่ผลิตโดยบริษัท แอปเปิล ถือเป็นไอโฟนรุ่นที่ 7 ซึ่งรุ่นก่อนหน้านี้คือ ไอโฟน 5 โดยที่ไอโฟน 5เอสนี้ ได้เปิดตัวพร้อมกับ ไอโฟน 5ซี ซึ่งเป็นรุ่นประหยัด เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 โดยลักษณะภายนอกเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า แต่เพิ่มความละเอียดของกล้องกับแฟลชให้สมจริงยิ่งขึ้น และเพิ่มสีทองเข้ามาอีกสีหนึ่ง จากเดิมที่มีแค่ขาวกับดำ

..ไอโฟน 5ซี
เป็นสมาร์ตโฟนจอสัมผัส ที่ผลิตโดยบริษัท แอปเปิล มันเป็นหนึ่งในสองรุ่นต่อจาก ไอโฟน 5 คู่กับไอโฟน 5เอส ซึ่งแอปเปิลจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 และจะเริ่มต้นการสั่งจองล่วงหน้าเมื่อ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
..ไอโฟน 5
เป็นสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่หกของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 4เอส โดยมีงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555 พร้อมกับ ไอพอดนาโน และไอพอดทัชรุ่นใหม่ เป็นสมาร์ตโฟนที่มีการนิยมใช้อย่างมาก
..ไอโฟน 4เอส
เป็นสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่ห้าของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 4 โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในงาน Let's talk iPhone ณ สำนักงานใหญ่แอปเปิล เมืองคูเปอร์ทิโน่ เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 4 ซึ่งภายนอกมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยรุ่นนี้มีการแก้ไขปัญหาสัญญาณตกที่เกิดกับ ไอโฟน 4 ในส่วนของระบบประมวลผลได้เปลี่ยนไปใช้ชิพ Apple A5 แบบเดียวกับ ไอแพด 2 และมีการเพิ่มความจุในรุ่น 64GB เข้ามา

..ไอโฟน 4
เป็นสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดยบริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สี่ของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 3จีเอส ถูกออกแบบเฉพาะสำหรับการใช้งานด้านการโทรศัพท์โดยมีสัญญาณภาพ (ในชื่อ เฟซไทม์) การอ่านหนังสืออีบุค, การดูวิดีโอ, ฟังเพลง, เล่นเกม และอินเทอร์เน็ต ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDDC 2010 และขายครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในอเมริกา,อังกฤษ และอีกในหลายประเทศ โดยในประเทศไทยนั้นมีการขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยสามบริษัทใหญ่เป็นผู้จำหน่ายคือ เอไอเอส ,ดีแทค และทรูมูฟ
..ไอโฟน 3จีเอส
iPhone 3GS ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นอีกรุ่นที่ได้กลายเป็นของสะสมของสาวกแอปเปิลหลาย ๆ คน สำหรับ iPhone 3GS เปิดตัวเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ที่งาน WWDC 2009 ด้านดีไซน์ของ iPhone 3GS ยังคงเหมือนกับ 2 รุ่นแรก เน้นความโค้งมนของขอบตัวเครื่อง ส่วนด้านสเปคถูกอัพเดทให้แรงขึ้นกว่าเดิม ใช้ซีพียู Cortex-A8 600MHz, แรม 256MB เพิ่มความละเอียดกล้องถ่ายภาพ 3.2 ล้านพิกเซล พร้อมออโต้โฟกัส ใช้นิ้วแตะเพื่อหาจุดโฟกัส ถ่ายวิดีโอได้ หน่วยความจำภายใน 8GB/16GB/32GB รวมถึงรองรับ 3G ความเร็วสูงสุด 7.2 Mbps และแอพพลิเคชั่นพื้นมากขึ้น เช่น Voice Control (สั่งงานด้วยเสียง) 
..ไอโฟน 3จี
เป็นสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สองของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน รุ่นแรกถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ มิถุนายน พ.ศ. 2551 ในงาน WWDDC 2008 ที่ Moscone Center ในเมืองSan Francisco มี 3G ที่คล้ายกันมากกับรุ่นก่อนที่มีเหมือนกันกล้อง 2 MP และการสนับสนุนสำหรับ บันทึกวิดีโอ ไม่มีและประสิทธิภาพการทำงานของมันถูก จำกัด โดยเดียวกันขนาด 128 เมกะไบต์ eDRAM หน่วยความจำ แต่ 3G ที่โดดเด่นการปรับปรุงหลายต้นฉบับ ที่สนับสนุน GPS แบบช่วยเหลือข้อมูล3G และ Tri - band UMTS/HSDPA


..ไอโฟน 2จี
บริษัทแอปเปิล ภายใต้การนำของสตีฟ จ็อบส์ ได้พลิกโฉมและสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการมือถือ เมื่อสตีฟ จอบส์ เผยโฉมโทรศัพท์มือถือตัวแรกของแอปเปิลนามว่า "ไอโฟน" ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยที่ทันสมัย ความสามารถของไอโฟนรุ่นแรก ใช้เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งเอสเอ็มเอส ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านทางซอฟต์แวร์ซาฟารี ค้นหาแผนที่ ฟังเพลง เชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 2.5G quad band GSM และ EDGE, Wi-Fi (802.11b/g) บลูทูธ 2.0 และกล้องถ่ายภาพ 2 ล้านพิกเซล ใช้ซีพียู 412 MHz ARM 11 หน่วยความจำภายใน 4GB/8GB/16GB มีหน้าจอ Capacitive 3.5 นิ้ว ความละเอียด 320 x 480 pixel ส่วนตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม, พลาสติกและกระจก

การวางจำหน่าย
ไอโฟนเริ่มมีวางจำหน่ายครั้งแรกเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 โดยร่วมมือกับเครือข่ายเอทีแอนด์ทีไวร์เลสส์ (ในขณะนั้นในชื่อ ซิงกิวลาร์ไวร์เลสส์) โดยก่อนวันจำหน่ายร้านแอปเปิลได้ปิดร้านในช่วง 14 นาฬิกาเพื่อเตรียมตัวขายไอโฟนในเวลา 18 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งมีผู้ใช้รอคิวเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก โดยทางแอปเปิลขายไอโฟนได้ 270,000 เครื่อง ในช่วง 30 ชั่วโมงแรกที่เปิดจำหน่าย โดยในปัจจุบันไอโฟนรุ่นแรกมีวางจำหน่ายในหกประเทศได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสหรัฐอเมริกา

ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ ลูกคิด” (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (charles babbage)ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค

ยุคที่หนึ่ง (first generation Computer) พ.ศ. 2489-2501
เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (mauchly and eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator And Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี
จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง 
เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสุญญากาศ
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
..ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น
..เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly/Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน

ยุคที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506
มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
..ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
..เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core)มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS)
..สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
..เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language)ขึ้นใช้งานในยุคนี้

ยุคที่สาม (Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า ไอซี” (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
..ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
..ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS)สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่าทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป

ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532
เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
..ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
..มีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)

ยุคที่ห้า (Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล

             ..องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่
1.ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System)คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น
2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System)คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น
3. การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System)คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น

4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System)คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น